ระบบคอมพิวเตอร์
จัดทำโดยนายพลวัต เทพศร รหัสนักศึกษา6031280058

ความหมายของคอมพิวเตอร์  ( What ' s computer)

  คำว่า COMPUTER ซึ่งหมายถึง การนับหรือการคำนวณ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เรียกกันนี้ หมายถึง ELECTRONICS COMPUTER เป็นเครื่องจักรทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้ สามารถทำการรับข้อมูลที่ป้อนเข้าไปพร้อมด้วยคำสั่ง แล้วดำเนินการจัดทำผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง ตามความหมายโดยทั่วไปแล้ว "คอมพิวเตอร์" คือ เครื่องจักรกลที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้โดยอัตโนมัติ
แต่เราอาจแบ่งความหมายของคอมพิวเตอร์ออกมาได้เป็น2ลักษณะคือ
1. ความหมายตามลักษณะทางกายภาพ
ความหมายตามลักษณะทางกายภาพ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ์ที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ ซึ่งการทำงานในปัจจุบันจะต้องอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลต่างๆ หรือหน่วยความจำนั่นเอง  มีหน้าที่ใช้ในการเก็บคำสั่ง (Program)  สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ตามขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ถูกเตรียมไว้
2. ความหมายในพจนานุกรม
ความหมายในพจนานุกรม หมายถึง เครื่องคำนวรหรือผู้คำนวณ(คณิตกรณ์) มีหน้าที่คำนวณและเปรียบเทียบ  หรือประมวลผลตามคำสั่งที่มนุษย์จัดเตรียมไว้ในรูปของโปรแกรมหรือชุดคำสั่งต่างๆ
ระบบคอมพิวเตอร์  ( Computer  System)
 ในการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแล้วให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามความต้องการของผู้ใช้งานนั้น  ย่อมต้องมีองค์ประกอบที่เรียกว่า ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายประเภททำงานร่วมกัน โดยมีคำสั่งหรือที่เรียกว่าโปรแกรมเป็นตัวสั่งการให้อุปกรณ์เหล่านั้นทำงานได้ตามที่มนุษย์ต้องการ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงระบบคอมพิวเตอร์สิ่งสำคัญของระบบจึงได้แก่ ฮาร์ดแวร์(hardware) ซอฟต์แวร์(software) และบุคลากร(Peopleware) นั่นคือ เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 
1.ฮาร์ดแวร์(hardware 
2.ซอฟต์แวร์(software)
3.บุคลากร(Peopleware)
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง ส่วนประกอบ โครงสร้าง รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงที่สนับสนุนการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์  อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้มนุษย์สามารถมองเห็นและสัมผัสได้  หน้าที่ของฮาร์ดแวร์ก็คือ  ทำงานตามคำสั่งควบคุมการทำงานต่างๆ  ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ  แบ่งออกเป็นส่วนประกอบดังนี้
1. หน่วยรับข้อมูล (Input unit) เป็นอุปกรณ์รับเข้า ทำหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รับเข้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ คือ แป้นพิมพ์ ( Keyboard ) และเมาส์ 
( Mouse)  นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์รับเข้าอื่น ๆ อีก ได้แก่ สแกนเนอร์ ( Scanner), วีดีโอคาเมรา (Video Camera), ไมโครโฟน (Microphone), ทัชสกรีน (Touch screen), แทร็คบอล (Trackball), ดิจิตเซอร์ เทเบิ้ล แอนด์ ครอสแชร์ (Digiter tablet and crosshair)

2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หรือเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า CPU ซึ่งถือว่าเป็นสมองของระบบคอมพิวเตอร์ มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ หน่วยควบคุม หน่วยคำนวณ
- หน่วยควบคุม (Control Unit หรือ CU) ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการทำงานของหน่วยรับข้อมูล หน่วยแสดงผล หน่วยคำนวณและหน่วยตรรก หน่วยความจำและแปลคำสั่ง
- หน่วยคำนวณและตรรก (Arithmetic and Logic Unit หรือ ALU) ทำหน้าที่ในการคำนวณหาตัวเลข เช่น การบวก ลบ การเปรียบเทียบ
- หน่วยความจำ เป็นอุปกรณ์ใช้เก็บโปรแกรมและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล

3. หน่วยความจำภายใน (Primary Storage Section หรือ Memory) เป็นหน่วยความจำที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้โดยตรง มี 2 ประเภท
3.1 หน่วยความจำภายใน
- หน่วยความจำแบบแรม (Random Access Memory หรือ Ram) เป็นหน่วยความจำชั่วคราว ที่ใช้สำหรับเก็บโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ขณะนั้น มีความจุของหน่วยเก็บข้อมูลไม่เกิน 640 KB คือผู้ใช้สามารถเขียนหรือลบไปได้ตลอดเวลา ถ้าหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไฟฟ้าดับ จะมีผลทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้สูญหายไปหมด และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
- หน่วยความจำแบบรอม (Read Only Memory หรือ Rom) เป็นหน่วยความจำถาวร ที่สามารถอ่านได้อย่างเดียว ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับ ข้อมูลที่เก็บไว้จะยังคงอยู่
3.2 หน่วยความจำสำรอง ได้แก่ เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก แผ่นดิสก์ (Diskett) CD-ROM
แผ่นดิสก์หรือสเกต เป็นจานแม่เหล็กขนาดเล็ก ชนิดอ่อน จัดเก็บข้อมูลโดยใช้อำนาจแม่เหล็ก การใช้งานจะต้องมี Disk Drive เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการขับเคลื่อนแผ่นดิสก์ โดยแบ่งตำแหน่งพื้นผิวออกเป็น แทร็คและเซ็คเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ
- แผ่นดิสก์ขนาด 8 นิ้ว ปัจจุบันไม่นิยมใช้
- แผ่นดิสก์ขนาด 5.25 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามรถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 360 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.2 MB
- แผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามารถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 720 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.44 MB นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือใช้เก็บผลลัพธ์เพื่อนำไปใช้ภายหลัง ได้แก่ จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์ส่งออกมากที่สุด เครื่องพิมพ์ (Printer)
 

ซอฟแวร์ (Software) คือ  คำสั่ง หรือชุดคำสั่ง  ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์  และเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ (ฮาร์ดแวร์)  สามารถสื่อสารกันได้  ทั้งนี้อาจแบ่งซอฟต์แวร์ตามหน้าที่ของการทำงานได้ดังนี้
1. โปรแกรมจัดระบบ (System Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการจัดการทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมควบคุมเครื่อง ระบบปฏิบัติการ เช่น DOS, Windows, Os/2, Unix
2. โปรแกรม์ประยุกต์ (Application Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ ได้แก่ โปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ
- โปรแกรมจัดระบบฐานข้อมูล เช่น  Microsoft  Access  Oracle
- โปรแกรมพิมพ์เอกสาร  เช่น  Microsoft  Word
- โปรแกรมสร้าง  Presentation  เช่น  Microsoft  Power  Point
- โปรแกรมช่วยสอน  (CAI - Computer  Aids Intrruction )
- โปรแกรมคำนวณ  เช่น  Microsoft  Excel

รูปโปรแกรมประเภทต่างๆ
รูปโปรแกรมประเภทต่างๆ (ต่อ)
3. โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Software) เป็นโปรแกรมที่ใช้เครื่องมืในการช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์มีความคล่องตัวขึ้น  และสามารถแก้ปัญหาอันเกิดจากการใช้งานได้ เช่น
- โปรแกรมกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ เช่น Mcafee, Scan, Norton Anitivirus
- โปรแกรมที่ใช้บีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถคัดลอกไปใช้ได้สะดวก เช่น Winzip เป็นต้น
4. โปรแกรมแปลงภาษา (Language Translater) ใช้ในการสร้างโปรแกรมประยุกต์เพื่อนำไปใช้งานด้านต่างๆ โดยการเขียนชุดคำสั่งเพื่อควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน และใช้โปรแกรมแปลงภาษาดังกล่าวทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่งที่สร้างขึ้น (High Level Language) ให้ไปเป็นคำสั่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจและปฏิบัติตามได้ (Low Level Language)
โปรแกรมแปลงภาษาโดยทั่วไปมี 2 ประเภท คือ
4.1 คอมไพเลอร์ (Compiler) โปรแกรมประเภทนี้จะทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่งที่สร้างขึ้นทั้งหมด (ตั้งแต่คำสั่งแรกจนถึงคำสั่งสุดท้าย) ในคราวเดียวกัน เช่น ภาษา Pascal, C, C++
4.2 อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) โปรแกรมประเภทนี้จะทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่ง แล้วแสดงผลลัพธ์ออกมา ทำให้ง่ายต่อการแก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดได้ทันที เช่น ภาษา Basic 
พีเพิลแวร์ (People Ware) หรือผู้ใช้ระบบ  ในระบบคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่งที่จะก่อใ้เกิดผลลัพธ์จากการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างชุดคำสั่งหรือโปรแกรมขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องนั่นเอง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในระดับต่างๆ ดังนี้
1. ผู้บริหาร (Manager) ทำหน้าที่กำกับดูแลวางแนวนโยบายในส่วนที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้องค์กรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. นักวิเคราะห์และนักออกแบบระบบ (System Analysis & Deign) ทำหน้าที่วางแผนและออกแบบระบบงาน เพื่อนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน
3. นักเขียนโปรแกรม (Programmer) ทำหน้าที่เขียน/สร้างชุดคำสั่งเพื่อควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
4. ผู้ปฏิบัติการ (Operator) ทำหน้าที่ควบคุมเครื่อง เตรียมข้อมูล และป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 

การแบ่งประเภทคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานด้านต่างๆ อย่างแพร่หลายดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้งานด้านต่างๆ ย่อมมีวัตถุประสงค์ โครงสร้าง และปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น งานวิจัยเพื่อส่งยานอวกาศออกไปนอกโลก หรืองานของธนาคารที่มีสาขาทั่วไป หรืองานคุมสินค้าคงคลังของห้างสรรพสินค้า หรืองานฝึกอบรมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถมศึกษา หรืองานผลิตหนังสือพิมพ์ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น ทำให้มีการผลิตคอมพิวเตอร์ออกมาให้มีขนาดและความสามารถรวมทั้งราคาอย่างเหมาะสมกับงานด้านต่างๆ ซึ่งการแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์นี้พิจารณาจากสรรถนะของหน่วยประมวลผลกลาง ความรู้ของหน่วยความจำ และคุณสมบัติประกอบอื่นๆ
คอมพิวเตอร์ที่มีการใช้งานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้
1. แบ่งตามลักษณะการประมวลผล
2. แบ่งตามขนาดและความสามรถของเครื่อง
3. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามหลักการประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่แบ่งตามลักษณะการประมวลผลนั้น จะหมายถึงการแบ่งตามสัญญาณข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลนั่นเอง จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัดและเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบเทียบกับสเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น ครื่องวัดปริมาณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดน้ำที่เปลี่ยนการไหลของน้ำให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็วของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือเครื่องตรวจคลื่ยสมองที่แสดงผลเป็นรูปกราฟ เป็นต้น
รูปแสดงสัญญาณแบบแอนะลอก

2. คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer) ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานทั่วๆ ไปนั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับ ทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบฐานเวลา (Clock Time) มาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตำแหน่ง เป็นต้น
รูปแสดงสัญญาณแบบดิจิตอล

3. คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer)
เครื่องประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ในงานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการคำนวณระยะทาง เป็นต้น
การทำงานแบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ ยังคงจำเป็นต้องอาศัยตัวเปลี่ยนสัญญาณ (Converter) เช่นเดิม
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามขนาดปละความสามารถของเครื่อง
จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้
1. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)

หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุด โดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)

หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลง สามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท ตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)

ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)

 หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมาก อาจเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนั้นยังราคาถูกลงมาก ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริษัทห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียน สถานศึกษา และบ้านเรือน บริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจำหน่ายจนประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก คือ บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน (Desktop Computer)
แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน  คอมพิวเตอร์ประเภทนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะในด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติมเพื่อวัตถุประสงค์ของงานนั้นๆ ขึ้นมาอีก จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุม ให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็นต้น

2. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ เช่น ในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับระบบบัญชี และในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ในการออกเช็คเงินเดือนได้ เป็นต้น
ระบบควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
ความหมายของระบบปฏิบัติการ (Operating System) หรือโปรแกรมจัดระบบ
โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) หมายถึง โปรแกรม ที่ทำหน้าที่ในการจัดการระบบ เพื่อติดต่อระหว่าง ฮาร์ดแวร์กับกับซอฟต์แวร์ ประเภทต่าง ๆ ให้สะดวกมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นตัวกลาง คอยจัดการระบบคอมพิวเตอร์ ระหว่างโปรแกรมกับฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ สอบ และค้นหา ไดรเวอร์ต่าง ๆ ได้เอง มีระบบการทำงานที่เรียกว่า Plug and Play และมีหน้าจอที่สวยงาม รองรับการใช้งาน ทางด้านอินเตอร์เน็ต และระบบมัลติมีเดีย ได้เป็นอย่างดีให้ทดลองเปิดเครื่อง จะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows โดยอัตโนมัติ
ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน
จากตารางความรู้เรื่องระบบปฏิบัติการที่ผ่านมาทำให้ทราบความหมาย  ลักษณะการทำงาน  รวมไปถึงหน้าที่ของระบบปฏิบัติการไปแล้ว  ในบทนี้จะศึกษาเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ  Windows xp ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ในส่วนที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับส่วนประกอบ  คุณสมบัติต่าง ๆ รวมไปถึงวิธีการจัดการข้อมูลโดยระบบปฏิบัติการ  Window xp  นี้
ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ  Windows xp

รูป Destop
Desktop(เดสก์ท็อป)
เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์  ระบบปฏิบัติการ  Windows'98  ก็จะเปิดขึ้นมาให้เราโดยระบบปฏิบัติการจะเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อใช้งาน  เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วก็จะมีหน้าจอปรากฏให้เห็น  เปรียบเสมือนกับบนตะทำงานของเราที่มีอุปกรณ์การทำงานต่าง ๆ  อยู่บนโต๊ะและพร้อมที่จะใช้งานได้
ส่วนประกอบของเดสก์ท็อป
1. ไอคอน  (Icon)  คือ  สัญลักษณ์รูปภาพที่มีคุณสมบัติในการเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น  เรียกใช้โปรแกรม  เรียกดูข้อมูล  เป็นต้น
2. ทาสก์บาร์  (taskbar) คือ  แถบแนวนอนที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้าจอ  มีหน้าที่แสดงสถานะการใช้งานต่าง ๆ รวมไปถึงมีปุ่มเครื่องมือที่สามารถเรียกใช้งานบางอย่างได้  ปุ่มเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านั้น  เช่น
2.1  ปุ่มควบคุ่มเสียง  (Volume  Control)  ใช้สำหรับปรับระดับความดังของเสียง  ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีระบบมัลติมีเดีย  หรือมีลำโพงต่อใช้งานรวมอยู่ด้วย
2.2  แถบเครื่องมือ  Quick  Lunch  เป็นแถบเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงโปรแกรมอินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นจากเดสก์ท็อป
2.3  นาฬิกาเป็นตัวบอกเวลาปัจจุบันของเครื่อง
2.4  ปุ่มสตาร์ต  (Start)  ใช้เมื่อเริ่มต้นทำงาน  กล่าวคือ  ที่ปุ่มสตาร์ตจะมีคำสั่งย่อย ๆ ต่าง ๆ ที่จะสามารถเรียกใช้งานโปรแกรม  รวมไปถึงการใช้คำสั่งควบคุมการทำงานของเครื่องนั้น ๆ ด้วย
โปรแกรมประยุกต์
ความหมายของโปรแรมประยุกต์
โปรแกรมประยุกต์  คือ  โปรแกรมที่มีความสามารถจัดการกับงานเฉพาะด้านโดยตัวโปรแกรมจะเหมาะสมและใช้งานได้ดีกับงานเฉพาะนั้น ๆ  เท่านั้น  โปรแกรมประยุกต์เหล่านนั้น  เช่น  โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด  โปรแกมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล  โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์  โปรแกรมประเภทเกมส์ต่าง ๆ เป็นต้น
ประเภทของโปรแกรมประยุกต์
โปรแกรมประยุกต์  คือ  โปรแกรมที่มีความสามารถจัดการกับงานเฉพาะด้านโดยตัวโปรแกรมจะเหมาะสมและใช้งานได้ดีกับงานเฉพาะนั้น ๆ  เท่านั้น  โปรแกรมประยุกต์เหล่านนั้น  เช่น  โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด  โปรแกมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล  โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอต์  โปรแกรมประเภทเกมต่าง ๆ เป็นต้น
1. โปรแกรมเวิร์คโพรเซสซิ่ง  (Word  Processing)

โปรแกรมประเภทนี้จะเหมาะสำหรับจัดการกับงานประเภทเอกสาร  เช่น  การจัดพิมพ์  การตกแต่งจัดรูปแบบเอกสาร  เพื่อนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เช่น  โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ค
2. โปรแกรมสเปรดชีต  (Spreadsheets)
โปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณตัวเลขในลักษณะต่าง ๆ  เช่น  คำนวณตัวเลขทางบัญชี  เป็นต้น  ความสามารถในการคำนวณจะอยู่ที่ผู้ใช้กำหนดสูตรให้โปรแกรมคำนวณตามสูตรที่กำหนด  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้า ผลลัพธ์จะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อมูลนำเข้าโดยอ้างอิงจากสูตรที่ใช้ตัวอย่างโปรแกรมประเภทนี้คือ  โปรแกรมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล
3. โปรแกรมฐานข้อมูล  (Database)
โปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับการจักเก็บและสืบค้นข้อมูล  ซึ่งข้อมูลบางอย่างที่มีปริมาณมาก ๆ  เช่น  ข้อมูลประวัตินักศึกษา  ข้อมูลผลการเรียนของนักเรียนนักศึกษา  ควรจะมีการจัดเก็บให้เป็นระบบ  ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลโดยใช้โปรแกรมฐานข้อมูลจะมีการจัดแยกประเภทข้อมูลเดียวกันเก็บไว้ด้วยกัน  เมื่อต้องการนำข้อมูลส่วนใดมาใช้ก็สามารถเรียกใช้เฉพาส่วนที่ต้องการได้ แต่จะยังคงความสัมพันธ์กับข้อมูลที่มีความสัมพันธ์เช่นเดิม เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขก็จะมีการแก้ไขกับข้อมูลที่สัมพันธ์กันนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟต์แอคเซส โปรแกรมวิชวลฟอกซ์โปร เป็นต้น
4. โปรแกรมทางด้านพรีเซนเทชั่น
โดยทั่วไปโปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข้อมูล เช่น การนำเสนอในที่ี่ประชุม การนำเสอนข้อมูลสินค้าเพื่อโฆษณาในงานแสดงสินค้า เป็นต้น โปรแกรมประเภทนี้จะมีความสามรถในการนำเสนอทั้งที่เป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียงด้วยกัน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์
5. โปรแกรมด้านการออกแบบ/เขียนแบบกราฟิก

โปรแกรมประเภทนี้จะเหมะกับงานที่มีการใช้การออกแบบ/เขียนแบบโครงสร้างต่าง ๆ   เช่น  บ้าน  อาคารต่าง ๆ  รวมไปถึงการจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ  เพื่อให้มองเห็นโครงสร้างต่าง ๆ  ในมุมมองมีแตกต่างกัน
ส่วนงานที่กี่ยวข้องกับรูปภาพหรือกราฟิกต่างๆ  เช่น  การตกแต่ง  หรือตัดต่อรูปภาพเพื่อนำไปใช้งานตามวัตถุประสงค์ต่าง  ๆ  ได้แก่  โปรแกรม  CorrelDraw, Photoshop  เป็นต้น
6. โปรแกรมอรรถประโยชน์  (Utility)

เป็นโปรแกรมที่ใช้แก้ปัญหาทางข้อมูล  โปรมแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ให้ใช้งานได้ดีตลอดไป  เช่น  โปรแกรมตรวจสอบและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์  (Norton Antivirus , Scan , Mcafee)  โปรแกรมตรวจสอบและจัดรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลในแหล่งเก็บข้อมูล  เช่น  Scandisk , Defrag  ใน  Windows  เป็นต้น

ส่วนประกอบฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU)

หน่วยประมวลผลกลาง ( CPU : Central Processing Unit ) หรือมักจะเรียกอีก
อย่างหนึ่งว่าไมโครโปรเซสเซอร์ มีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูล ในลักษณะของ
การคำนวณและเปรียบเทียบ โดยจะทำงานตามจังหวะเวลาที่แน่นอน เรียกว่า
สัญญาณ Clock เมื่อมีการเคาะจังหวะหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดกิจกรรม 1 ครั้ง เราเรียก
หน่วย ที่ใช้ในการวัดความเร็วของซีพียูว่า“เฮิร์ท”(Herzt)

คุณลักษณะ
เป็น CPU INTEL  Core i7-8700K ใช้ Socket LGA1151-v2 มี 6 Core 12 Thread ความถี่ 3.70 GHz และTurboได้ 4.70 GHz มี CPU Bus ถึง8 GT/s DMI3 มีการออกแบบให้มีขนาดเล็กที่สุดของ CPU =14nm และมีแคชลำดับที่2หรือ L2 = 12x256KBและมีแคชลำดับที่3 หรือ L3 =12MB และPower Peakได้สูงสุดได้95W 

2.เมนบอร์ด (Mainboard) คือ ศุนย์กลางของการเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีชิปเซตที่ำทำหน้าที่รับ/ส่งข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ อีกขั้นหนึ่ง เมนบร์ด (Mainboard)นิยมใช้มาตรฐานการออกแบบ ATX (Advance Technology Extension) ปรับปรุงจากระบบเก่าที่เป็นแบบ Body AT โดยแบบใหม่จะมีการปรับปรุงบริเวณ ซีพียู(CPU)โดยจะย้ายไปไกลพัดลมของแหล่งจ่ายไฟ(Power Supply) ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น

คุณลักษณะ
เป็น Mainboard ของAsus Model :ROG STRIX Z370-F GAMING ใช้ Socket:LGA1151-v2 รองรับ CPU:Intel 8th Generation Core Processors ใช้ Chipset เป็นของ intel Z370 มีSlot แรม ถึง 4 Slot และรองรับแรมสูงสุดได้ 64 GB และชนิดของแรมที่รองรับเป็นแบบ Dual Channel DDR4 4000(O.C.) / 3866(O.C.) / 3800(O.C.) / 3733(O.C.) / 3666(O.C.) / 3600(O.C.) / 3466(O.C.) / 3400(O.C.) / 3333(O.C.) / 3300(O.C.) / 3200(O.C.) / 3000(O.C.) / 2800(O.C.) / 2666(O.C.) / 2400 / 2133 MHz และมี VGA Onboard Chip:Integrated Graphics Processor รองรับระบบเสียง แบบ 8 Channels HD Audio มีPort SATA 3 ทั้งหมด 6 Port และรองรับ M.2 และมี Chipset LAN:Intel I219-V Gigabit LAN และมีความเร็ว 10/100/1000Mbps

3.การ์ดจอ,การ์ดแสดงผล,VGA Card เป็นคำเรียกต่างๆ กัน แต่จริงแล้วก็หมายความถึงอุปกรณ์ชิ้นนี้ การ์ดจอเป็นอุปกรณ์สำหรับการแสดงผลของคอมพิวเตอร์ โดยการ์ดจอจะเชื่อมต่อกันระหว่างเมนบอร์ดกับสายสัญญาณ VGA ที่ต่อกับจอแสดงผล การใช้การ์ดจอโดยมักจะใช้ในงานที่ต้องการการแสดงผลที่มากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่นการตัดต่อภาพยนตร์, งานด้านกราฟฟิค, หรือแม้แต่กระทั่งไว้สำหรับความบันเทิง เช่นสำหรับการชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงและเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูง

คุณลักษณะ
เป็น VGA ของ ASUS รุ่น ROG Poseidon GTX1080TI 11GB Platinum Edition ใช้ Chipset ของ NVIDIA เป็น GPU Model:NVIDIA 1000 Seriesและมี Bus Interface:PCI-ex 3.0 16x Technology=16nm และมีความเร็วของ GPU =1594MHz ความเร็ว RAM=1376MHz ความจุ RAM=11GB ชนิดของ RAM=DDR5X Bus Width=352bit เป็น Shader Model 5.0 Shader Unit 3584 ใช้ DirectX 12 และรองรับCross Fire / SLI และรองรับ 3D และตัวการ์ดจอ ยังมี Port Connector DVI Port 1 Port และ HDMI Port 2 Port และ Display Port 2 Port และpower supply ที่จะใช้กับการ์ดจอตัวนี้ ต้องใช้ 750 W ชึ้นไปใช้ Power Connectors 8 Pin + 8 Pin

4.แรม (RAM : Random Access Memory) คือ หน่วยความจำที่ใช้เป็นหน่วยความจำหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นหน่วยความจำประเภทที่อ่าน/เขียน ข้อมูลลงไปได้ตลอดเวลา แต่ถ้าไฟดับหรือปิดเครื่อง ข้อมูลในหน่วยความจำจะหายหมดทันทีหน่วยความจำจะทำงานร่วมกันกับซีพียู (CPU)อยู่ตลอดเวลา่ แทบทุกจังหวะการทำงานของซีพียู (CPU) จะต้องมีการอ่าน/เขียนข้อมูลไปยังหน่วยความจำเสมอ หรือแม้แต่ในขณะที่เราสั่งย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ต้องใช้หน่วยความเป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล

 


  คุณลักษณะ
เป็น RAM ของ CORSAIR รุ่น Vengeance LED DDR4 16GB 3200 (8GBx2) Red ชนิดของแรม เป็น DDR4 ความจุของแรม มีขนาด 16GB (8GBx2) และมี Bus Ram =3200


5.ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) เปรียบเสมือนคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความจุที่ค่อนข้างสูง ภายในฮาร์ดดิสก์จะมีแผ่นจานเหล็กกลมแบบที่ใช้บันทึกข้อมูลวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ และยึดติดกับมอเตอร์ที่มีความเร็วในการหมุนหลายพันรอบต่อนาทีโดยมีแขนเล็กๆที่ยื่นออดมา ตรงปลายแขนจะมีหัวอ่านซึ่งใช้สำหรับการอ่านหรือเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก การอ่านหรือเขียนข้อมูลของฮาร์ดดิสก์จะใช้หลักการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กที่หัวอ่านขนาดของจานที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop) จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 นิ้ว ส่วนถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของโน้ตบุ๊คก็ประมาณ 2.5 นิ้ว
คุณลักษณะ   
เป็น Harddisk ของ Western Digital รุ่น Black 1TB WD1003FZEX มีความจุของฮาร์ดดิสก์ = 1TB ฮาร์ดดิกส์มีขนาด 3.5 และมีความเร็วจานหมุน 7200 ขนาด Buffer 64 MB ใช้ Port เชื่อมต่อ แบบ SATA III

6.CD/DVD ROM เป็นอุปกรณ์ในการอ่านแผ่น CD VCD  DVD โดยใช้แสงในการอ่านข้อมูล  สำหรับสื่อประเภทนี้ไปสำหรับบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น  มีความจุมากกว่าแผ่นดิสก์แบบปกติ  ต้องย้อนเวลากลับไปอดีตนิดหน่อย  สำหรับสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลในยุคแรกๆนั้นมีการใช้งานรูปแบบของเทปที่เป็นแทบแม่เหล็ก  ซึ่งต้องใช้ขนาดและเทปที่ยาวมากกว่าจะเก็บข้อมูลได้  แต่ได้พัฒนามาเป็นเป็นดิสก์ก็ต้องใช้ขนาดที่เป็นแผ่นแต่ก็ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลไว้ได้มากเท่าไหร่  แต่ก็ว่าข้อมูลสมัยนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเท่าไหร่  แผ่นเดียวก็เก็บไฟล์เอกสารไว้มากมายแต่ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นแผ่น CD  และ DVD ที่มีความจุมาก
7.แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามมันเลยอุปกรณ์ชนิดนี้มีความสำคัญมาก เพราะว่ามันเป็นตัวที่ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่อง โดยจะทำการแปลงกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ 220 โวลต์ที่ใช้กันตามบ้านเรือนให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงขนาด 3.3,5และ 12 โวลต์เพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องมีวงจรที่ควบคุมระดับของแรงดันไฟฟ้าให้คงที่(Voltage Regulators) ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มองกันง่ายๆก็เปรียบเสมือนหัวใจที่เต้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ระบบการทำงานของร่างกายก็ผิดพลาดหรือล้มเหลวภายในแหล่งจ่ายไฟจะมีหม้อแปลง(Transformer) ขนาดต่างๆกัน เพื่อทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้าแต่ละระดับให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีตัวเก็บประจุ(Capacitor) และขดลวด (Coil) ซึ่งทำหน้าที่หรองแรงดันไฟฟ้าให้เรียบคงที่ตลอดเวลา พัดลมที่อยู่ภายในแหล่งจ่ายไฟจะทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับหม้อแปลง และยังช่วยระบายอากาศให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
คุณลักษณะ
เป็น Power Supply ของ CORSAIR รุ่น AX1200i ประเภทของPower Supply : ATX12V v2.31 / EPS12V v2.92 และมีกำลังไฟสูงสุดถึง 1200Wและมีพัดลม 1 x 140mm Fan Mainboard Connector 20+4 Pin / PCI Ex Connector 6 x 6+2-Pin / Sata Connector 10 รองรับ SLI และ Cross Fire สามารถถอดสายได้ และมีอัตราการจ่ายพลังงาน สูงสุดได้ถึง 90% และมีมาตรฐานรับรอง 80 PLUS Platinum และมีระบบป้องกันไฟเกิน รองรับไฟขาเข้า 100 - 240 V ช่วงความถี่ขาเข้า 47/63 Hz จำนวนชั่วโมงการใช้งาน >100,000 Hours ขนาด 150mm x 200mm x 86mm

8.Case หรือ “เคส” คือ ตัวถังหรือตัวกล่องคอมพิวเตอร์ หลายคนจะเรียกว่าซีพียูเนื่องจากเข้าใจผิด สำหรับเคสนั้นใช้สำหรับบรรจุอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์หลักของคอมพิวเตอร์เอาไว้ข้างใน เช่น CPU  เมนบอร์ด การ์ดจอฮาร์ดดิสก์ พัดลมระบายความร้อน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ Power Supply ซึ่งจะมีติดอยู่ในเคสเรียบร้อย เคสคอมพิวเตอร์ควรเลือกที่รูปทรงสูงๆ เพื่อจะได้ติดตั้งอุปกรณ์ได้ง่าย และควรเลือกเคสที่มีช่องสำหรับติดตั้งฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ เผื่อเอาไว้หลายๆ ช่อง ในกรณีที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในภายหลังจะได้ง่ายขึ้น


คุณลักษณะ
เป็น Case ของ COOLER MASTER รุ่น MasterCase Pro 6 เป็น Case แบบ Mid Tower รองรับเมนบอร์ด แบบ Mini-ITX,Micro-ATX,ATX ผลิตจาก Steel body, Plastic panels มีขนาด 235 x 544 x 548 สี Black,Red Led มี Input Connector USB 3.0 x 2 Audio in / out รองรับ VGA ขนาด 296 มีพัดลม ข้างหน้า ข้างหลัง และข้างบน ขนาด 140mm
 
9.จอภาพ (Monitor) เป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ หน้าที่ของมันคือ ทำการแสดงผลของเครื่องคอมพิวเตอร์  จอภาพมีอยู่ 3 แบบ คือ
1.จอภาพแบบหลอด CRT ซึ่งจะเหมือนกับจอภาพของโทรทัศน์ จอภาพแบบนี้ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เื่นื่องจากมีขนาดที่ใหญ่ น้ำหนักมาก และยังมีรังสีออกมาจากจอภาพทำให้เกิดความร้อนสูงขณะใช้งาน
2.จอภาพแบบ LCD ซึ่งมีขนาดเล็กและบางกว่ามาก จึงใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าและถนอมสายตาของผู้ใช้ได้ดีกว่า
3.จอภาพแบบ LED เป็นจอภาพแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมการมาก ซึ่งจอภาพชนิดนี้จะใช้เทคโนโลยีไมโครคอนโครเลอร์ประมวลผลคำสั่งเพื่อให้หลอดไฟ LED แสดงภาพออกมา ลักษณะของจอภาพชนิดนี้จะมีหลอดไฟ LED เล็กเรียงกันอยู่ ภาพที่ออกมาจะมีสีสันสดใส สวยงามและมีความคมชัดกว่าจอ LCD มาก

คุณลักษณะ
เป็น Monitor ของ ACER รุ่น Predator XB272-HDR เป็นจอแบบ Full HD ขนาด 3840 x 2160 / Refresh Rate 144 Hz จอมีขนาด 27 นิ้ว Response Time 4ms / Connector มี DVI Port 1 Port / HDMI Port 1 Port / USB Port 2 Port


10.เมาส์ เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลเช่นเดียวกับคีย์บอร์ด ทำหน้าที่เลื่อนเคอร์เซอร์ หรือสัญลักษณ์ตัวชี้เมาส์ (Mouse Pointer) บนจอภาพ การเลือกคำสั่งโดยใช้เมาส์จะให้ความสะดวกกว่าการใช้คีย์บอร์ด โดยเฉพาะในโปรแกรม ประเภท Windows ต้องใช้งานเมาส์เป็นหลัก

11.คีย์บอร์ดคืออุปกรณ์รับข้อมูลที่ใช้การเรียงตัวของปุ่ม ซึ่งแต่ละปุ่มทำหน้าที่เหมือนเป็นสวิทช์อิเล็กทรอนิกส์โดยปกติ แล้วคีย์บอร์ดใช้สำหรับพิมพ์ตัวหนังสือ หรือตัวเลขเข้าไปยังโปรแกรมต่างๆ

ส่วนประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.โมเด็ม โมเด็ม (Modem) ย่อมาจากคำว่า "Modulator/Demodulator" กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก เรียกว่า มอดูเลชั่น (Modulation) โมเด็มที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า โมดูเลเตอร์ (Modulator) กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิทัล เรียกว่า ดีมอดูเลชั่น (Demodulation) โมเด็มที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า ดีโมดูเลเตอร์ (Demodulator)
 
2.การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech03/32/p2.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เครื่องพิมพ์แบบต่างๆ

เครื่องฉายแสงโปรเจคเตอร์