ระบบคอมพิวเตอร์
จัดทำโดยนายพลวัต เทพศร รหัสนักศึกษา6031280058
ความหมายของคอมพิวเตอร์ ( What ' s computer)
คำว่า COMPUTER ซึ่งหมายถึง การนับหรือการคำนวณ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เรียกกันนี้ หมายถึง ELECTRONICS COMPUTER เป็นเครื่องจักรทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้ สามารถทำการรับข้อมูลที่ป้อนเข้าไปพร้อมด้วยคำสั่ง แล้วดำเนินการจัดทำผลลัพธ์ที่ต้องการออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง ตามความหมายโดยทั่วไปแล้ว "คอมพิวเตอร์" คือ เครื่องจักรกลที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้โดยอัตโนมัติ
แต่เราอาจแบ่งความหมายของคอมพิวเตอร์ออกมาได้เป็น2ลักษณะคือ
1. ความหมายตามลักษณะทางกายภาพ
ความหมายตามลักษณะทางกายภาพ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ์ที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ ซึ่งการทำงานในปัจจุบันจะต้องอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลต่างๆ หรือหน่วยความจำนั่นเอง มีหน้าที่ใช้ในการเก็บคำสั่ง (Program) สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ตามขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ถูกเตรียมไว้
2. ความหมายในพจนานุกรม
ความหมายในพจนานุกรม หมายถึง เครื่องคำนวรหรือผู้คำนวณ(คณิตกรณ์) มีหน้าที่คำนวณและเปรียบเทียบ หรือประมวลผลตามคำสั่งที่มนุษย์จัดเตรียมไว้ในรูปของโปรแกรมหรือชุดคำสั่งต่างๆ
ระบบคอมพิวเตอร์ ( Computer System)
ในการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแล้วให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามความต้องการของผู้ใช้งานนั้น ย่อมต้องมีองค์ประกอบที่เรียกว่า ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายประเภททำงานร่วมกัน โดยมีคำสั่งหรือที่เรียกว่าโปรแกรมเป็นตัวสั่งการให้อุปกรณ์เหล่านั้นทำงานได้ตามที่มนุษย์ต้องการ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงระบบคอมพิวเตอร์สิ่งสำคัญของระบบจึงได้แก่ ฮาร์ดแวร์(hardware) ซอฟต์แวร์(software) และบุคลากร(Peopleware) นั่นคือ เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
ในการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแล้วให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามความต้องการของผู้ใช้งานนั้น ย่อมต้องมีองค์ประกอบที่เรียกว่า ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายประเภททำงานร่วมกัน โดยมีคำสั่งหรือที่เรียกว่าโปรแกรมเป็นตัวสั่งการให้อุปกรณ์เหล่านั้นทำงานได้ตามที่มนุษย์ต้องการ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงระบบคอมพิวเตอร์สิ่งสำคัญของระบบจึงได้แก่ ฮาร์ดแวร์(hardware) ซอฟต์แวร์(software) และบุคลากร(Peopleware) นั่นคือ เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1.ฮาร์ดแวร์(hardware
2.ซอฟต์แวร์(software)
3.บุคลากร(Peopleware)
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง ส่วนประกอบ โครงสร้าง รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงที่สนับสนุนการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้มนุษย์สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ หน้าที่ของฮาร์ดแวร์ก็คือ ทำงานตามคำสั่งควบคุมการทำงานต่างๆ ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แบ่งออกเป็นส่วนประกอบดังนี้
1. หน่วยรับข้อมูล (Input unit) เป็นอุปกรณ์รับเข้า ทำหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รับเข้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ คือ แป้นพิมพ์ ( Keyboard ) และเมาส์
1. หน่วยรับข้อมูล (Input unit) เป็นอุปกรณ์รับเข้า ทำหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รับเข้าที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ คือ แป้นพิมพ์ ( Keyboard ) และเมาส์
( Mouse) นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์รับเข้าอื่น ๆ อีก ได้แก่ สแกนเนอร์ ( Scanner), วีดีโอคาเมรา (Video Camera), ไมโครโฟน (Microphone), ทัชสกรีน (Touch screen), แทร็คบอล (Trackball), ดิจิตเซอร์ เทเบิ้ล แอนด์ ครอสแชร์ (Digiter tablet and crosshair)
2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หรือเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า CPU ซึ่งถือว่าเป็นสมองของระบบคอมพิวเตอร์ มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ หน่วยควบคุม หน่วยคำนวณ
- หน่วยควบคุม (Control Unit หรือ CU) ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการทำงานของหน่วยรับข้อมูล หน่วยแสดงผล หน่วยคำนวณและหน่วยตรรก หน่วยความจำและแปลคำสั่ง
- หน่วยคำนวณและตรรก (Arithmetic and Logic Unit หรือ ALU) ทำหน้าที่ในการคำนวณหาตัวเลข เช่น การบวก ลบ การเปรียบเทียบ
- หน่วยความจำ เป็นอุปกรณ์ใช้เก็บโปรแกรมและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล
3. หน่วยความจำภายใน (Primary Storage Section หรือ Memory) เป็นหน่วยความจำที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้โดยตรง มี 2 ประเภท
3.1 หน่วยความจำภายใน
- หน่วยความจำแบบแรม (Random Access Memory หรือ Ram) เป็นหน่วยความจำชั่วคราว ที่ใช้สำหรับเก็บโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ขณะนั้น มีความจุของหน่วยเก็บข้อมูลไม่เกิน 640 KB คือผู้ใช้สามารถเขียนหรือลบไปได้ตลอดเวลา ถ้าหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไฟฟ้าดับ จะมีผลทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้สูญหายไปหมด และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
- หน่วยความจำแบบรอม (Read Only Memory หรือ Rom) เป็นหน่วยความจำถาวร ที่สามารถอ่านได้อย่างเดียว ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับ ข้อมูลที่เก็บไว้จะยังคงอยู่
3.2 หน่วยความจำสำรอง ได้แก่ เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก แผ่นดิสก์ (Diskett) CD-ROM
แผ่นดิสก์หรือสเกต เป็นจานแม่เหล็กขนาดเล็ก ชนิดอ่อน จัดเก็บข้อมูลโดยใช้อำนาจแม่เหล็ก การใช้งานจะต้องมี Disk Drive เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการขับเคลื่อนแผ่นดิสก์ โดยแบ่งตำแหน่งพื้นผิวออกเป็น แทร็คและเซ็คเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ
- แผ่นดิสก์ขนาด 8 นิ้ว ปัจจุบันไม่นิยมใช้
- แผ่นดิสก์ขนาด 5.25 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามรถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 360 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.2 MB
- แผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว แบ่งออกเป็น DD สามารถบันทึกข้อมูลได้ประมาณ 720 KB และ HD สามารถบันทึกข้อมูลได้ 1.44 MB นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือใช้เก็บผลลัพธ์เพื่อนำไปใช้ภายหลัง ได้แก่ จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์ส่งออกมากที่สุด เครื่องพิมพ์ (Printer)
ซอฟแวร์ (Software) คือ คำสั่ง หรือชุดคำสั่ง ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ (ฮาร์ดแวร์) สามารถสื่อสารกันได้ ทั้งนี้อาจแบ่งซอฟต์แวร์ตามหน้าที่ของการทำงานได้ดังนี้
1. โปรแกรมจัดระบบ (System Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการจัดการทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมควบคุมเครื่อง ระบบปฏิบัติการ เช่น DOS, Windows, Os/2, Unix
2. โปรแกรม์ประยุกต์ (Application Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ ได้แก่ โปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ
- โปรแกรมจัดระบบฐานข้อมูล เช่น Microsoft Access Oracle
- โปรแกรมพิมพ์เอกสาร เช่น Microsoft Word
- โปรแกรมสร้าง Presentation เช่น Microsoft Power Point
- โปรแกรมช่วยสอน (CAI - Computer Aids Intrruction )
- โปรแกรมคำนวณ เช่น Microsoft Excel
1. โปรแกรมจัดระบบ (System Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการจัดการทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมควบคุมเครื่อง ระบบปฏิบัติการ เช่น DOS, Windows, Os/2, Unix
2. โปรแกรม์ประยุกต์ (Application Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ ได้แก่ โปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ
- โปรแกรมจัดระบบฐานข้อมูล เช่น Microsoft Access Oracle
- โปรแกรมพิมพ์เอกสาร เช่น Microsoft Word
- โปรแกรมสร้าง Presentation เช่น Microsoft Power Point
- โปรแกรมช่วยสอน (CAI - Computer Aids Intrruction )
- โปรแกรมคำนวณ เช่น Microsoft Excel
รูปโปรแกรมประเภทต่างๆ
รูปโปรแกรมประเภทต่างๆ (ต่อ)
3. โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Software) เป็นโปรแกรมที่ใช้เครื่องมืในการช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์มีความคล่องตัวขึ้น และสามารถแก้ปัญหาอันเกิดจากการใช้งานได้ เช่น
- โปรแกรมกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ เช่น Mcafee, Scan, Norton Anitivirus
- โปรแกรมที่ใช้บีบอัดข้อมูลให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถคัดลอกไปใช้ได้สะดวก เช่น Winzip เป็นต้น
4. โปรแกรมแปลงภาษา (Language Translater) ใช้ในการสร้างโปรแกรมประยุกต์เพื่อนำไปใช้งานด้านต่างๆ โดยการเขียนชุดคำสั่งเพื่อควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน และใช้โปรแกรมแปลงภาษาดังกล่าวทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่งที่สร้างขึ้น (High Level Language) ให้ไปเป็นคำสั่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจและปฏิบัติตามได้ (Low Level Language)
โปรแกรมแปลงภาษาโดยทั่วไปมี 2 ประเภท คือ
4.1 คอมไพเลอร์ (Compiler) โปรแกรมประเภทนี้จะทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่งที่สร้างขึ้นทั้งหมด (ตั้งแต่คำสั่งแรกจนถึงคำสั่งสุดท้าย) ในคราวเดียวกัน เช่น ภาษา Pascal, C, C++
4.2 อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) โปรแกรมประเภทนี้จะทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่ง แล้วแสดงผลลัพธ์ออกมา ทำให้ง่ายต่อการแก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดได้ทันที เช่น ภาษา Basic
พีเพิลแวร์ (People Ware) หรือผู้ใช้ระบบ ในระบบคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่งที่จะก่อใ้เกิดผลลัพธ์จากการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างชุดคำสั่งหรือโปรแกรมขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องนั่นเอง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในระดับต่างๆ ดังนี้
1. ผู้บริหาร (Manager) ทำหน้าที่กำกับดูแลวางแนวนโยบายในส่วนที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้องค์กรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. นักวิเคราะห์และนักออกแบบระบบ (System Analysis & Deign) ทำหน้าที่วางแผนและออกแบบระบบงาน เพื่อนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน
3. นักเขียนโปรแกรม (Programmer) ทำหน้าที่เขียน/สร้างชุดคำสั่งเพื่อควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
4. ผู้ปฏิบัติการ (Operator) ทำหน้าที่ควบคุมเครื่อง เตรียมข้อมูล และป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
1. ผู้บริหาร (Manager) ทำหน้าที่กำกับดูแลวางแนวนโยบายในส่วนที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้องค์กรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. นักวิเคราะห์และนักออกแบบระบบ (System Analysis & Deign) ทำหน้าที่วางแผนและออกแบบระบบงาน เพื่อนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งาน
3. นักเขียนโปรแกรม (Programmer) ทำหน้าที่เขียน/สร้างชุดคำสั่งเพื่อควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
4. ผู้ปฏิบัติการ (Operator) ทำหน้าที่ควบคุมเครื่อง เตรียมข้อมูล และป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
การแบ่งประเภทคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานด้านต่างๆ อย่างแพร่หลายดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้งานด้านต่างๆ ย่อมมีวัตถุประสงค์ โครงสร้าง และปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น งานวิจัยเพื่อส่งยานอวกาศออกไปนอกโลก หรืองานของธนาคารที่มีสาขาทั่วไป หรืองานคุมสินค้าคงคลังของห้างสรรพสินค้า หรืองานฝึกอบรมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กประถมศึกษา หรืองานผลิตหนังสือพิมพ์ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น ทำให้มีการผลิตคอมพิวเตอร์ออกมาให้มีขนาดและความสามารถรวมทั้งราคาอย่างเหมาะสมกับงานด้านต่างๆ ซึ่งการแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์นี้พิจารณาจากสรรถนะของหน่วยประมวลผลกลาง ความรู้ของหน่วยความจำ และคุณสมบัติประกอบอื่นๆ
คอมพิวเตอร์ที่มีการใช้งานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้
1. แบ่งตามลักษณะการประมวลผล
2. แบ่งตามขนาดและความสามรถของเครื่อง
3. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามหลักการประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่แบ่งตามลักษณะการประมวลผลนั้น จะหมายถึงการแบ่งตามสัญญาณข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลนั่นเอง จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัดและเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบเทียบกับสเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น ครื่องวัดปริมาณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดน้ำที่เปลี่ยนการไหลของน้ำให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็วของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือเครื่องตรวจคลื่ยสมองที่แสดงผลเป็นรูปกราฟ เป็นต้น
รูปแสดงสัญญาณแบบแอนะลอก
1. คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัดและเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบเทียบกับสเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น ครื่องวัดปริมาณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดน้ำที่เปลี่ยนการไหลของน้ำให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็วของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือเครื่องตรวจคลื่ยสมองที่แสดงผลเป็นรูปกราฟ เป็นต้น
รูปแสดงสัญญาณแบบแอนะลอก
2. คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer) ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานทั่วๆ ไปนั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับ ทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบฐานเวลา (Clock Time) มาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตำแหน่ง เป็นต้น
รูปแสดงสัญญาณแบบดิจิตอล
3. คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer)
เครื่องประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ในงานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการคำนวณระยะทาง เป็นต้น
การทำงานแบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ ยังคงจำเป็นต้องอาศัยตัวเปลี่ยนสัญญาณ (Converter) เช่นเดิม
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามขนาดปละความสามารถของเครื่อง
จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้
1. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้
1. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุด โดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
หมายถึง
เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลง
สามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้
โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย
(Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า
เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน
(Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User)
ปกติเครื่องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่
มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท
ตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ
คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM
และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)
ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก
มีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุด
สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
(Personal Computer : PC) ปัจจุบัน
ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมาก
อาจเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนั้นยังราคาถูกลงมาก
ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริษัทห้างร้าน
ตลอดจนตามโรงเรียน สถานศึกษา และบ้านเรือน
บริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจำหน่ายจนประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก
คือ บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน (Desktop Computer)
แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน (Desktop Computer)
แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
คอมพิวเตอร์ประเภทนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะในด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งอาจจะมีอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติมเพื่อวัตถุประสงค์ของงานนั้นๆ ขึ้นมาอีก
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุม ให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็นต้น
1. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุม ให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็นต้น
2. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ เช่น ในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับระบบบัญชี และในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ในการออกเช็คเงินเดือนได้ เป็นต้น
ระบบควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
ความหมายของระบบปฏิบัติการ (Operating System) หรือโปรแกรมจัดระบบ
โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) หมายถึง โปรแกรม ที่ทำหน้าที่ในการจัดการระบบ เพื่อติดต่อระหว่าง ฮาร์ดแวร์กับกับซอฟต์แวร์ ประเภทต่าง ๆ ให้สะดวกมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นตัวกลาง คอยจัดการระบบคอมพิวเตอร์ ระหว่างโปรแกรมกับฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ สอบ และค้นหา ไดรเวอร์ต่าง ๆ ได้เอง มีระบบการทำงานที่เรียกว่า Plug and Play และมีหน้าจอที่สวยงาม รองรับการใช้งาน ทางด้านอินเตอร์เน็ต และระบบมัลติมีเดีย ได้เป็นอย่างดีให้ทดลองเปิดเครื่อง จะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows โดยอัตโนมัติ
โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) หมายถึง โปรแกรม ที่ทำหน้าที่ในการจัดการระบบ เพื่อติดต่อระหว่าง ฮาร์ดแวร์กับกับซอฟต์แวร์ ประเภทต่าง ๆ ให้สะดวกมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นตัวกลาง คอยจัดการระบบคอมพิวเตอร์ ระหว่างโปรแกรมกับฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ สอบ และค้นหา ไดรเวอร์ต่าง ๆ ได้เอง มีระบบการทำงานที่เรียกว่า Plug and Play และมีหน้าจอที่สวยงาม รองรับการใช้งาน ทางด้านอินเตอร์เน็ต และระบบมัลติมีเดีย ได้เป็นอย่างดีให้ทดลองเปิดเครื่อง จะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows โดยอัตโนมัติ
ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน
จากตารางความรู้เรื่องระบบปฏิบัติการที่ผ่านมาทำให้ทราบความหมาย ลักษณะการทำงาน รวมไปถึงหน้าที่ของระบบปฏิบัติการไปแล้ว ในบทนี้จะศึกษาเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ Windows xp ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ในส่วนที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับส่วนประกอบ คุณสมบัติต่าง ๆ รวมไปถึงวิธีการจัดการข้อมูลโดยระบบปฏิบัติการ Window xp นี้
ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ Windows xp
ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ Windows xp
รูป Destop
Desktop(เดสก์ท็อป)
เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ Windows'98 ก็จะเปิดขึ้นมาให้เราโดยระบบปฏิบัติการจะเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อใช้งาน เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วก็จะมีหน้าจอปรากฏให้เห็น เปรียบเสมือนกับบนตะทำงานของเราที่มีอุปกรณ์การทำงานต่าง ๆ อยู่บนโต๊ะและพร้อมที่จะใช้งานได้
ส่วนประกอบของเดสก์ท็อป
1. ไอคอน (Icon) คือ สัญลักษณ์รูปภาพที่มีคุณสมบัติในการเรียกใช้งานต่าง ๆ เช่น เรียกใช้โปรแกรม เรียกดูข้อมูล เป็นต้น
2. ทาสก์บาร์ (taskbar) คือ แถบแนวนอนที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้าจอ มีหน้าที่แสดงสถานะการใช้งานต่าง ๆ รวมไปถึงมีปุ่มเครื่องมือที่สามารถเรียกใช้งานบางอย่างได้ ปุ่มเครื่องมือต่าง ๆ เหล่านั้น เช่น
2.1 ปุ่มควบคุ่มเสียง (Volume Control) ใช้สำหรับปรับระดับความดังของเสียง ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีระบบมัลติมีเดีย หรือมีลำโพงต่อใช้งานรวมอยู่ด้วย
2.2 แถบเครื่องมือ Quick Lunch เป็นแถบเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงโปรแกรมอินเตอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นจากเดสก์ท็อป
2.3 นาฬิกาเป็นตัวบอกเวลาปัจจุบันของเครื่อง
2.4 ปุ่มสตาร์ต (Start) ใช้เมื่อเริ่มต้นทำงาน กล่าวคือ ที่ปุ่มสตาร์ตจะมีคำสั่งย่อย ๆ ต่าง ๆ ที่จะสามารถเรียกใช้งานโปรแกรม รวมไปถึงการใช้คำสั่งควบคุมการทำงานของเครื่องนั้น ๆ ด้วย
โปรแกรมประยุกต์
ความหมายของโปรแรมประยุกต์
โปรแกรมประยุกต์ คือ โปรแกรมที่มีความสามารถจัดการกับงานเฉพาะด้านโดยตัวโปรแกรมจะเหมาะสมและใช้งานได้ดีกับงานเฉพาะนั้น ๆ เท่านั้น โปรแกรมประยุกต์เหล่านนั้น เช่น โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด โปรแกมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์ โปรแกรมประเภทเกมส์ต่าง ๆ เป็นต้น
โปรแกรมประยุกต์ คือ โปรแกรมที่มีความสามารถจัดการกับงานเฉพาะด้านโดยตัวโปรแกรมจะเหมาะสมและใช้งานได้ดีกับงานเฉพาะนั้น ๆ เท่านั้น โปรแกรมประยุกต์เหล่านนั้น เช่น โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด โปรแกมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์ โปรแกรมประเภทเกมส์ต่าง ๆ เป็นต้น
ประเภทของโปรแกรมประยุกต์
โปรแกรมประยุกต์ คือ โปรแกรมที่มีความสามารถจัดการกับงานเฉพาะด้านโดยตัวโปรแกรมจะเหมาะสมและใช้งานได้ดีกับงานเฉพาะนั้น ๆ เท่านั้น โปรแกรมประยุกต์เหล่านนั้น เช่น โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด โปรแกมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอต์ โปรแกรมประเภทเกมต่าง ๆ เป็นต้น
1. โปรแกรมเวิร์คโพรเซสซิ่ง (Word Processing)
โปรแกรมประยุกต์ คือ โปรแกรมที่มีความสามารถจัดการกับงานเฉพาะด้านโดยตัวโปรแกรมจะเหมาะสมและใช้งานได้ดีกับงานเฉพาะนั้น ๆ เท่านั้น โปรแกรมประยุกต์เหล่านนั้น เช่น โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด โปรแกมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอต์ โปรแกรมประเภทเกมต่าง ๆ เป็นต้น
1. โปรแกรมเวิร์คโพรเซสซิ่ง (Word Processing)
โปรแกรมประเภทนี้จะเหมาะสำหรับจัดการกับงานประเภทเอกสาร เช่น การจัดพิมพ์ การตกแต่งจัดรูปแบบเอกสาร เพื่อนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ค
2. โปรแกรมสเปรดชีต (Spreadsheets)
โปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณตัวเลขในลักษณะต่าง ๆ เช่น คำนวณตัวเลขทางบัญชี เป็นต้น ความสามารถในการคำนวณจะอยู่ที่ผู้ใช้กำหนดสูตรให้โปรแกรมคำนวณตามสูตรที่กำหนด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนำเข้า ผลลัพธ์จะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อมูลนำเข้าโดยอ้างอิงจากสูตรที่ใช้ตัวอย่างโปรแกรมประเภทนี้คือ โปรแกรมไมโครซอฟต์เอกซ์เซล
3. โปรแกรมฐานข้อมูล (Database)
โปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับการจักเก็บและสืบค้นข้อมูล ซึ่งข้อมูลบางอย่างที่มีปริมาณมาก ๆ เช่น ข้อมูลประวัตินักศึกษา ข้อมูลผลการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ควรจะมีการจัดเก็บให้เป็นระบบ ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลโดยใช้โปรแกรมฐานข้อมูลจะมีการจัดแยกประเภทข้อมูลเดียวกันเก็บไว้ด้วยกัน เมื่อต้องการนำข้อมูลส่วนใดมาใช้ก็สามารถเรียกใช้เฉพาส่วนที่ต้องการได้ แต่จะยังคงความสัมพันธ์กับข้อมูลที่มีความสัมพันธ์เช่นเดิม เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไขก็จะมีการแก้ไขกับข้อมูลที่สัมพันธ์กันนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟต์แอคเซส โปรแกรมวิชวลฟอกซ์โปร เป็นต้น
4. โปรแกรมทางด้านพรีเซนเทชั่น
โดยทั่วไปโปรแกรมประเภทนี้จะถูกนำมาใช้งานที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข้อมูล เช่น การนำเสนอในที่ี่ประชุม การนำเสอนข้อมูลสินค้าเพื่อโฆษณาในงานแสดงสินค้า เป็นต้น โปรแกรมประเภทนี้จะมีความสามรถในการนำเสนอทั้งที่เป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียงด้วยกัน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์
5. โปรแกรมด้านการออกแบบ/เขียนแบบกราฟิก
โปรแกรมประเภทนี้จะเหมะกับงานที่มีการใช้การออกแบบ/เขียนแบบโครงสร้างต่าง ๆ เช่น บ้าน อาคารต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ เพื่อให้มองเห็นโครงสร้างต่าง ๆ ในมุมมองมีแตกต่างกัน
ส่วนงานที่กี่ยวข้องกับรูปภาพหรือกราฟิกต่างๆ เช่น การตกแต่ง หรือตัดต่อรูปภาพเพื่อนำไปใช้งานตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ได้แก่ โปรแกรม CorrelDraw, Photoshop เป็นต้น
6. โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility)
เป็นโปรแกรมที่ใช้แก้ปัญหาทางข้อมูล โปรมแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ให้ใช้งานได้ดีตลอดไป เช่น โปรแกรมตรวจสอบและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ (Norton Antivirus , Scan , Mcafee) โปรแกรมตรวจสอบและจัดรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลในแหล่งเก็บข้อมูล เช่น Scandisk , Defrag ใน Windows เป็นต้น
ส่วนประกอบฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU)
หน่วยประมวลผลกลาง ( CPU : Central Processing Unit ) หรือมักจะเรียกอีก
อย่างหนึ่งว่าไมโครโปรเซสเซอร์ มีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูล ในลักษณะของ
การคำนวณและเปรียบเทียบ โดยจะทำงานตามจังหวะเวลาที่แน่นอน เรียกว่า
สัญญาณ Clock เมื่อมีการเคาะจังหวะหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดกิจกรรม 1 ครั้ง เราเรียก
หน่วย ที่ใช้ในการวัดความเร็วของซีพียูว่า“เฮิร์ท”(Herzt)
อย่างหนึ่งว่าไมโครโปรเซสเซอร์ มีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูล ในลักษณะของ
การคำนวณและเปรียบเทียบ โดยจะทำงานตามจังหวะเวลาที่แน่นอน เรียกว่า
สัญญาณ Clock เมื่อมีการเคาะจังหวะหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดกิจกรรม 1 ครั้ง เราเรียก
หน่วย ที่ใช้ในการวัดความเร็วของซีพียูว่า“เฮิร์ท”(Herzt)
เป็น CPU INTEL Core i7-8700K ใช้ Socket LGA1151-v2 มี 6 Core 12 Thread ความถี่ 3.70 GHz และTurboได้ 4.70 GHz มี CPU Bus ถึง8 GT/s DMI3 มีการออกแบบให้มีขนาดเล็กที่สุดของ CPU =14nm และมีแคชลำดับที่2หรือ L2 = 12x256KBและมีแคชลำดับที่3 หรือ L3 =12MB และPower Peakได้สูงสุดได้95W
2.เมนบอร์ด (Mainboard) คือ ศุนย์กลางของการเชื่อมต่อสำหรับอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีชิปเซตที่ำทำหน้าที่รับ/ส่งข้อมูลของอุปกรณ์ต่างๆ อีกขั้นหนึ่ง เมนบร์ด (Mainboard)นิยมใช้มาตรฐานการออกแบบ ATX (Advance Technology Extension) ปรับปรุงจากระบบเก่าที่เป็นแบบ Body AT โดยแบบใหม่จะมีการปรับปรุงบริเวณ ซีพียู(CPU)โดยจะย้ายไปไกลพัดลมของแหล่งจ่ายไฟ(Power Supply) ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เป็น Mainboard ของAsus Model :ROG STRIX Z370-F GAMING ใช้ Socket:LGA1151-v2 รองรับ CPU:Intel 8th Generation Core Processors ใช้ Chipset เป็นของ intel Z370 มีSlot แรม ถึง 4 Slot และรองรับแรมสูงสุดได้ 64 GB และชนิดของแรมที่รองรับเป็นแบบ Dual Channel DDR4 4000(O.C.) / 3866(O.C.) / 3800(O.C.) / 3733(O.C.) / 3666(O.C.) / 3600(O.C.) / 3466(O.C.) / 3400(O.C.) / 3333(O.C.) / 3300(O.C.) / 3200(O.C.) / 3000(O.C.) / 2800(O.C.) / 2666(O.C.) / 2400 / 2133 MHz และมี VGA Onboard Chip:Integrated Graphics Processor รองรับระบบเสียง แบบ 8 Channels HD Audio มีPort SATA 3 ทั้งหมด 6 Port และรองรับ M.2 และมี Chipset LAN:Intel I219-V Gigabit LAN และมีความเร็ว 10/100/1000Mbps
3.การ์ดจอ,การ์ดแสดงผล,VGA Card เป็นคำเรียกต่างๆ กัน แต่จริงแล้วก็หมายความถึงอุปกรณ์ชิ้นนี้ การ์ดจอเป็นอุปกรณ์สำหรับการแสดงผลของคอมพิวเตอร์ โดยการ์ดจอจะเชื่อมต่อกันระหว่างเมนบอร์ดกับสายสัญญาณ VGA ที่ต่อกับจอแสดงผล การใช้การ์ดจอโดยมักจะใช้ในงานที่ต้องการการแสดงผลที่มากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่นการตัดต่อภาพยนตร์, งานด้านกราฟฟิค, หรือแม้แต่กระทั่งไว้สำหรับความบันเทิง เช่นสำหรับการชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงและเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูง
คุณลักษณะ
เป็น VGA ของ ASUS รุ่น ROG Poseidon GTX1080TI 11GB Platinum Edition ใช้ Chipset ของ NVIDIA เป็น GPU Model:NVIDIA 1000 Seriesและมี Bus Interface:PCI-ex 3.0 16x Technology=16nm และมีความเร็วของ GPU =1594MHz ความเร็ว RAM=1376MHz ความจุ RAM=11GB ชนิดของ RAM=DDR5X Bus Width=352bit เป็น Shader Model 5.0 Shader Unit 3584 ใช้ DirectX 12 และรองรับCross Fire / SLI และรองรับ 3D และตัวการ์ดจอ ยังมี Port Connector DVI Port 1 Port และ HDMI Port 2 Port และ Display Port 2 Port และpower supply ที่จะใช้กับการ์ดจอตัวนี้ ต้องใช้ 750 W ชึ้นไปใช้ Power Connectors 8 Pin + 8 Pin
4.แรม (RAM : Random Access Memory) คือ หน่วยความจำที่ใช้เป็นหน่วยความจำหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นหน่วยความจำประเภทที่อ่าน/เขียน ข้อมูลลงไปได้ตลอดเวลา แต่ถ้าไฟดับหรือปิดเครื่อง ข้อมูลในหน่วยความจำจะหายหมดทันทีหน่วยความจำจะทำงานร่วมกันกับซีพียู (CPU)อยู่ตลอดเวลา่ แทบทุกจังหวะการทำงานของซีพียู (CPU) จะต้องมีการอ่าน/เขียนข้อมูลไปยังหน่วยความจำเสมอ หรือแม้แต่ในขณะที่เราสั่งย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ต้องใช้หน่วยความเป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล
คุณลักษณะ
เป็น RAM ของ CORSAIR รุ่น Vengeance LED DDR4 16GB 3200 (8GBx2) Red ชนิดของแรม เป็น DDR4 ความจุของแรม มีขนาด 16GB (8GBx2) และมี Bus Ram =3200
5.ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) เปรียบเสมือนคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความจุที่ค่อนข้างสูง ภายในฮาร์ดดิสก์จะมีแผ่นจานเหล็กกลมแบบที่ใช้บันทึกข้อมูลวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ และยึดติดกับมอเตอร์ที่มีความเร็วในการหมุนหลายพันรอบต่อนาทีโดยมีแขนเล็กๆที่ยื่นออดมา ตรงปลายแขนจะมีหัวอ่านซึ่งใช้สำหรับการอ่านหรือเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก การอ่านหรือเขียนข้อมูลของฮาร์ดดิสก์จะใช้หลักการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กที่หัวอ่านขนาดของจานที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop) จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 นิ้ว ส่วนถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของโน้ตบุ๊คก็ประมาณ 2.5 นิ้ว
คุณลักษณะ
เป็น Harddisk ของ Western Digital รุ่น Black 1TB WD1003FZEX มีความจุของฮาร์ดดิสก์ = 1TB ฮาร์ดดิกส์มีขนาด 3.5 และมีความเร็วจานหมุน 7200 ขนาด Buffer 64 MB ใช้ Port เชื่อมต่อ แบบ SATA III
6.CD/DVD ROM เป็นอุปกรณ์ในการอ่านแผ่น CD VCD DVD โดยใช้แสงในการอ่านข้อมูล สำหรับสื่อประเภทนี้ไปสำหรับบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น มีความจุมากกว่าแผ่นดิสก์แบบปกติ ต้องย้อนเวลากลับไปอดีตนิดหน่อย สำหรับสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลในยุคแรกๆนั้นมีการใช้งานรูปแบบของเทปที่เป็นแทบแม่เหล็ก ซึ่งต้องใช้ขนาดและเทปที่ยาวมากกว่าจะเก็บข้อมูลได้ แต่ได้พัฒนามาเป็นเป็นดิสก์ก็ต้องใช้ขนาดที่เป็นแผ่นแต่ก็ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลไว้ได้มากเท่าไหร่ แต่ก็ว่าข้อมูลสมัยนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเท่าไหร่ แผ่นเดียวก็เก็บไฟล์เอกสารไว้มากมายแต่ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นแผ่น CD และ DVD ที่มีความจุมาก
7.แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามมันเลยอุปกรณ์ชนิดนี้มีความสำคัญมาก เพราะว่ามันเป็นตัวที่ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่อง โดยจะทำการแปลงกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ 220 โวลต์ที่ใช้กันตามบ้านเรือนให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงขนาด 3.3,5และ 12 โวลต์เพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องมีวงจรที่ควบคุมระดับของแรงดันไฟฟ้าให้คงที่(Voltage Regulators) ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มองกันง่ายๆก็เปรียบเสมือนหัวใจที่เต้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ระบบการทำงานของร่างกายก็ผิดพลาดหรือล้มเหลวภายในแหล่งจ่ายไฟจะมีหม้อแปลง(Transformer) ขนาดต่างๆกัน เพื่อทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้าแต่ละระดับให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีตัวเก็บประจุ(Capacitor) และขดลวด (Coil) ซึ่งทำหน้าที่หรองแรงดันไฟฟ้าให้เรียบคงที่ตลอดเวลา พัดลมที่อยู่ภายในแหล่งจ่ายไฟจะทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับหม้อแปลง และยังช่วยระบายอากาศให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
เป็น RAM ของ CORSAIR รุ่น Vengeance LED DDR4 16GB 3200 (8GBx2) Red ชนิดของแรม เป็น DDR4 ความจุของแรม มีขนาด 16GB (8GBx2) และมี Bus Ram =3200
5.ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) เปรียบเสมือนคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความจุที่ค่อนข้างสูง ภายในฮาร์ดดิสก์จะมีแผ่นจานเหล็กกลมแบบที่ใช้บันทึกข้อมูลวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ และยึดติดกับมอเตอร์ที่มีความเร็วในการหมุนหลายพันรอบต่อนาทีโดยมีแขนเล็กๆที่ยื่นออดมา ตรงปลายแขนจะมีหัวอ่านซึ่งใช้สำหรับการอ่านหรือเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก การอ่านหรือเขียนข้อมูลของฮาร์ดดิสก์จะใช้หลักการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กที่หัวอ่านขนาดของจานที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop) จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 นิ้ว ส่วนถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ของโน้ตบุ๊คก็ประมาณ 2.5 นิ้ว
คุณลักษณะ
เป็น Harddisk ของ Western Digital รุ่น Black 1TB WD1003FZEX มีความจุของฮาร์ดดิสก์ = 1TB ฮาร์ดดิกส์มีขนาด 3.5 และมีความเร็วจานหมุน 7200 ขนาด Buffer 64 MB ใช้ Port เชื่อมต่อ แบบ SATA III
6.CD/DVD ROM เป็นอุปกรณ์ในการอ่านแผ่น CD VCD DVD โดยใช้แสงในการอ่านข้อมูล สำหรับสื่อประเภทนี้ไปสำหรับบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น มีความจุมากกว่าแผ่นดิสก์แบบปกติ ต้องย้อนเวลากลับไปอดีตนิดหน่อย สำหรับสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลในยุคแรกๆนั้นมีการใช้งานรูปแบบของเทปที่เป็นแทบแม่เหล็ก ซึ่งต้องใช้ขนาดและเทปที่ยาวมากกว่าจะเก็บข้อมูลได้ แต่ได้พัฒนามาเป็นเป็นดิสก์ก็ต้องใช้ขนาดที่เป็นแผ่นแต่ก็ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลไว้ได้มากเท่าไหร่ แต่ก็ว่าข้อมูลสมัยนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเท่าไหร่ แผ่นเดียวก็เก็บไฟล์เอกสารไว้มากมายแต่ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นแผ่น CD และ DVD ที่มีความจุมาก
7.แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามมันเลยอุปกรณ์ชนิดนี้มีความสำคัญมาก เพราะว่ามันเป็นตัวที่ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่อง โดยจะทำการแปลงกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ 220 โวลต์ที่ใช้กันตามบ้านเรือนให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงขนาด 3.3,5และ 12 โวลต์เพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องมีวงจรที่ควบคุมระดับของแรงดันไฟฟ้าให้คงที่(Voltage Regulators) ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มองกันง่ายๆก็เปรียบเสมือนหัวใจที่เต้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ระบบการทำงานของร่างกายก็ผิดพลาดหรือล้มเหลวภายในแหล่งจ่ายไฟจะมีหม้อแปลง(Transformer) ขนาดต่างๆกัน เพื่อทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้าแต่ละระดับให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีตัวเก็บประจุ(Capacitor) และขดลวด (Coil) ซึ่งทำหน้าที่หรองแรงดันไฟฟ้าให้เรียบคงที่ตลอดเวลา พัดลมที่อยู่ภายในแหล่งจ่ายไฟจะทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับหม้อแปลง และยังช่วยระบายอากาศให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
คุณลักษณะ
เป็น Power Supply ของ CORSAIR รุ่น AX1200i ประเภทของPower Supply : ATX12V v2.31 / EPS12V v2.92 และมีกำลังไฟสูงสุดถึง 1200Wและมีพัดลม 1 x 140mm Fan Mainboard Connector 20+4 Pin / PCI Ex Connector 6 x 6+2-Pin / Sata Connector 10 รองรับ SLI และ Cross Fire สามารถถอดสายได้ และมีอัตราการจ่ายพลังงาน สูงสุดได้ถึง 90% และมีมาตรฐานรับรอง 80 PLUS Platinum และมีระบบป้องกันไฟเกิน รองรับไฟขาเข้า 100 - 240 V ช่วงความถี่ขาเข้า 47/63 Hz จำนวนชั่วโมงการใช้งาน >100,000 Hours ขนาด 150mm x 200mm x 86mm
8.Case หรือ “เคส” คือ ตัวถังหรือตัวกล่องคอมพิวเตอร์ หลายคนจะเรียกว่าซีพียูเนื่องจากเข้าใจผิด สำหรับเคสนั้นใช้สำหรับบรรจุอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์หลักของคอมพิวเตอร์เอาไว้ข้างใน เช่น CPU เมนบอร์ด การ์ดจอฮาร์ดดิสก์ พัดลมระบายความร้อน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ Power Supply ซึ่งจะมีติดอยู่ในเคสเรียบร้อย เคสคอมพิวเตอร์ควรเลือกที่รูปทรงสูงๆ เพื่อจะได้ติดตั้งอุปกรณ์ได้ง่าย และควรเลือกเคสที่มีช่องสำหรับติดตั้งฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ เผื่อเอาไว้หลายๆ ช่อง ในกรณีที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในภายหลังจะได้ง่ายขึ้น
เป็น Power Supply ของ CORSAIR รุ่น AX1200i ประเภทของPower Supply : ATX12V v2.31 / EPS12V v2.92 และมีกำลังไฟสูงสุดถึง 1200Wและมีพัดลม 1 x 140mm Fan Mainboard Connector 20+4 Pin / PCI Ex Connector 6 x 6+2-Pin / Sata Connector 10 รองรับ SLI และ Cross Fire สามารถถอดสายได้ และมีอัตราการจ่ายพลังงาน สูงสุดได้ถึง 90% และมีมาตรฐานรับรอง 80 PLUS Platinum และมีระบบป้องกันไฟเกิน รองรับไฟขาเข้า 100 - 240 V ช่วงความถี่ขาเข้า 47/63 Hz จำนวนชั่วโมงการใช้งาน >100,000 Hours ขนาด 150mm x 200mm x 86mm
8.Case หรือ “เคส” คือ ตัวถังหรือตัวกล่องคอมพิวเตอร์ หลายคนจะเรียกว่าซีพียูเนื่องจากเข้าใจผิด สำหรับเคสนั้นใช้สำหรับบรรจุอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์หลักของคอมพิวเตอร์เอาไว้ข้างใน เช่น CPU เมนบอร์ด การ์ดจอฮาร์ดดิสก์ พัดลมระบายความร้อน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ Power Supply ซึ่งจะมีติดอยู่ในเคสเรียบร้อย เคสคอมพิวเตอร์ควรเลือกที่รูปทรงสูงๆ เพื่อจะได้ติดตั้งอุปกรณ์ได้ง่าย และควรเลือกเคสที่มีช่องสำหรับติดตั้งฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ เผื่อเอาไว้หลายๆ ช่อง ในกรณีที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในภายหลังจะได้ง่ายขึ้น
คุณลักษณะ
เป็น Case ของ COOLER MASTER รุ่น MasterCase Pro 6 เป็น Case แบบ Mid Tower รองรับเมนบอร์ด แบบ Mini-ITX,Micro-ATX,ATX ผลิตจาก Steel body, Plastic panels มีขนาด 235 x 544 x 548 สี Black,Red Led มี Input Connector USB 3.0 x 2 Audio in / out รองรับ VGA ขนาด 296 มีพัดลม ข้างหน้า ข้างหลัง และข้างบน ขนาด 140mm
9.จอภาพ (Monitor) เป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ หน้าที่ของมันคือ ทำการแสดงผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ จอภาพมีอยู่ 3 แบบ คือ
1.จอภาพแบบหลอด CRT ซึ่งจะเหมือนกับจอภาพของโทรทัศน์ จอภาพแบบนี้ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เื่นื่องจากมีขนาดที่ใหญ่ น้ำหนักมาก และยังมีรังสีออกมาจากจอภาพทำให้เกิดความร้อนสูงขณะใช้งาน
2.จอภาพแบบ LCD ซึ่งมีขนาดเล็กและบางกว่ามาก จึงใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าและถนอมสายตาของผู้ใช้ได้ดีกว่า
3.จอภาพแบบ LED เป็นจอภาพแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมการมาก ซึ่งจอภาพชนิดนี้จะใช้เทคโนโลยีไมโครคอนโครเลอร์ประมวลผลคำสั่งเพื่อให้หลอดไฟ LED แสดงภาพออกมา ลักษณะของจอภาพชนิดนี้จะมีหลอดไฟ LED เล็กเรียงกันอยู่ ภาพที่ออกมาจะมีสีสันสดใส สวยงามและมีความคมชัดกว่าจอ LCD มาก
คุณลักษณะ
เป็น Monitor ของ ACER รุ่น Predator XB272-HDR เป็นจอแบบ Full HD ขนาด 3840 x 2160 / Refresh Rate 144 Hz จอมีขนาด 27 นิ้ว Response Time 4ms / Connector มี DVI Port 1 Port / HDMI Port 1 Port / USB Port 2 Port
10.เมาส์ เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลเช่นเดียวกับคีย์บอร์ด ทำหน้าที่เลื่อนเคอร์เซอร์ หรือสัญลักษณ์ตัวชี้เมาส์ (Mouse Pointer) บนจอภาพ การเลือกคำสั่งโดยใช้เมาส์จะให้ความสะดวกกว่าการใช้คีย์บอร์ด โดยเฉพาะในโปรแกรม ประเภท Windows ต้องใช้งานเมาส์เป็นหลัก
11.คีย์บอร์ดคืออุปกรณ์รับข้อมูลที่ใช้การเรียงตัวของปุ่ม ซึ่งแต่ละปุ่มทำหน้าที่เหมือนเป็นสวิทช์อิเล็กทรอนิกส์โดยปกติ แล้วคีย์บอร์ดใช้สำหรับพิมพ์ตัวหนังสือ หรือตัวเลขเข้าไปยังโปรแกรมต่างๆ
ส่วนประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.โมเด็ม โมเด็ม (Modem) ย่อมาจากคำว่า "Modulator/Demodulator" กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก เรียกว่า มอดูเลชั่น (Modulation) โมเด็มที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า โมดูเลเตอร์ (Modulator) กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิทัล เรียกว่า ดีมอดูเลชั่น (Demodulation) โมเด็มที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่า ดีโมดูเลเตอร์ (Demodulator)
2.การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech03/32/p2.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น